ท่องเที่ยว สิงคโปร์ ตอน ล่องเรือ the Mariner of the seas

[2] The Mariner of the seas (SG-Port Klang MAS-SG)


ล่องเรือสำราญ the Mariner of the Seas
(ธันวาคม 2559)


  • ความเบื้องต้น 
ผมอยากจะเริ่มต้นแบบนี้ครับว่า ทุกวันนี้เวลาเราพูดกันว่าไปเมืองนอกทั้งไปเที่ยวเองและที่ไปกับทัวร์ สิ่งหนึ่งที่ต้องพบเจอเหมือน ๆ กันก็คือ "การเดินทาง" คือ จากโรงแรมที่พักไปห้าง ไปวัดวาอาราม ไปโบสถ์ ไปตลาด ไปรถไฟ ไปไหนต่อไหน ซึ่งก็ ok ปกติแหละ ก็มาเที่ยวนี่นา แต่สิ่งที่ตามมาคือความอ่อนเพลียและเมื่อยล้า ยิ่งถ้าบ้านไหนมีเด็กเล็ก หรือ อากง อาม่าไปด้วย ก็ยิ่งลำบากใหญ่ 




แต่ไปล่องเรือ มันจะทำให้คุณไม่ต้องเจอเรื่องที่ว่ามาข้างต้นเลย คือ ไปให้ถึงเรือ จากนั้นจบ ทุกอย่างมีให้บนเรือ ข้อเสียถ้าจะพึงมีอยู่บ้างคือ บางท่านอาจจะเบื่อ อยู่แต่บนเรือ แถมมีแต่ฟ้ากับน้ำ

โดยในประเด็นนี้ ส่วนตัวผมยืนยันเลยว่า ไม่มีเบื่อครับ กิจกรรมอัดแน่นยิ่งกว่าตารางสอนป.6 เรียกว่าเก็บให้หมดนี่มีเหนื่อยแน่นอน  

  • เล่าคร่าว ๆ เกี่ยวกับเรือ the Mariner of the Seas
เรือลำนี้เป็นเรือที่ operate โดย the Royal Caribbean ซึ่งเป็นแบรนด์เรือสำราญระดับโลกเท่าที่ผมทราบ ปัจจุบันสายการเดินเรือนี้มีเรือสำราญที่ให้บริการอยู่ทั้งสิ้น 22 ลำ มีเส้นทางเดินเรือสู่เมืองท่าต่าง ๆ กว่า 270 เมือง ใน 72 ประเทศทั่วโลก ในด้านคุณภาพการให้บริการนั้น บอกได้เลยว่าเกินราคาค่าตั๋วไปมาก โชว์ต่าง ๆ มีการพัฒนาปรับปรุงอยู่เสมอ อาหารอร่อย ไม่อั้น แถมบริกรในห้องอาหารก็มี service mind อย่างสูงยิ่ง โดย Royal Caribbean เป็นบริษัทเดินเรือสำราญสัญชาติอเมริกัน - นอร์เวย์ บริษัทลูกของ Royal Caribbean Cruise มีสำนักงานอยู่ที่เมืองไมแอมี รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา  เรือทุกลำของบริษัทจะมีชื่อต่อท้ายว่า "of the seas" ทุกลำ 

Royal Caribbean









  • ก่อนขึ้นเรือ

เส้นทางเดินเรือที่ผมเลือกไปในคราวนี้ คือ ออกจากสิงคโปร์ ไปแวะ Port Klang ที่มาเลเซีย และกลับมาที่สิงคโปร์ เพราะฉะนั้นก็มีโอกาสได้เที่ยวในตัวเมืองสิงคโปร์ด้วย แต่จะเที่ยววันไหน ตอนไหน ก็อยู่ที่จะจัดทริปกัน สำหรับคณะของผม เราวางแผนแบบนี้ครับ

-สมมติ ลงเรือ วันจันทร์ เราก็ออกจากไทยคืนวันอาทิตย์
คือไปหาโรงแรมนอนสักคืนหนึ่ง พอให้หายเหนื่อยและที่สำคัญไม่ต้องรีบกุลีกุจอจาก airport ไปท่าเรือ (แม้จะไม่ไกลกันมากนัก) เพราะไม่รู้ว่าไฟลท์จะดีเลย์ไหม หรือคิวต.ม.จะยาวหรือเปล่า ก็เลยตัดสินใจไปนอนรอคืนนึงล่วงหน้า

โดยผมเลือกเข้าพักที่โรงแรม Champion อยู่ในย่านเกลัง นอกจากราคาไม่แพง  ที่นี่ยังมีข้อดีอีกอย่างคือไม่ไกลจาก airport และท่าเรือ คือ ลงเครื่องดึกก็ไปอีกไม่นานก็ได้นอน ตื่นสายหน่อยไปท่าเรือก็ไม่ไกล ก็เลยตัดสินใจเลือกพักที่นี่ แต่จะว่าไปจริงๆ แล้วสิงคโปร์ก็ไม่ได้กว้างขวางมากอยู่แล้วล่ะ

-ตื่นขึ้นเช้าวันจันทร์ที่ต้องไปลงเรือ

Image result for champion hotel singapore
ภาพ lobby โรงแรม Champion เมืองสิงคโปร์
ภาพจาก hoteltravel.com 
คณะของผมตื่นราว 10.30 น. เช็คเอาท์แล้วฝากกระเป๋าไว้กับทางโรงแรม เขาไม่มีอาหารเช้าให้นะครับ พวกผมเลยเดินเตร็ดเตร่ออกเที่ยวซอกซอนหาอาหารทานกัน ไปไม่ไกลนัก ออกจากโรงแรมเลี้ยวซ้ายไปสัก 3-4 คูหาก็จะเจอร้านอาหารเช้า มีพวกขนมปังปิ้ง ข้าวผัด ไข่ต้ม กาแฟ อะไรพวกนี้ สะอาดและรสชาติถูกปาก แถมราคาไม่แพง ก็จัดไป 1 มื้อ ระหว่างทางก็ชมบ้านเมืองเขาไปด้วย สะอาดสะอ้านดีครับ และไปเจอร้านขายผลไม้ ที่จัดวางของสวยงามสะดุดตาเลยเก็บภาพมาฝากด้วย

เมื่ออิ่มหนำสำราญแล้ว ก็กลับมารับกระเป๋าเรียก Taxi ไปท่าเรือ อย่าไปกังวลกับค่า Taxi มากเกินไปนะครับ ไม่ได้แพงขนาดนั้น คิดว่าเป็นค่าที่เราไม่ต้องลากกระเป๋าไปขึ้นรถเมล์ ลงรถไฟผมว่าคุ้มอยู่ครับ

Taxi ที่นี่เขาดีนะครับ คนขับพูดภาษาอังกฤษได้ ไม่มีเหมาให้ต้องกังวล มิเตอร์ล้วน ๆ ช่วยยกกระเป๋าขึ้น-ลง ท่าทีเป็นมิตร ผมก็ไม่รู้ว่าประเทศสิงคโปร์เขาทำกันยังไงถึงได้ยังงี้ เห็นแล้วก็ได้แต่อิจฉาเขาครับ

-การ Check in ลงเรือ

ก่อนถึงกำหนดวันลงเรือ (หรือขึ้น เอาว่าไปเรือนั่นแหละ) ทางรอยัล แคริบเบียน เขาจะส่งอีเมลมาให้เราแจ้งว่า Deck ของเราจะได้คิว check in กี่โมง เช่น Deck 10:10.30 น., Deck 9: 11.00 น.
อะไรแบบนี้ แต่ผมก็ไม่ได้ไปตามเวลาที่เขาบอกก็สามารถ check in ได้นะครับ เลยคิดว่าคิวที่ว่านี่ไม่น่า serious ขอแค่อย่าไปหลังเรือออกจากท่าก็แล้วกัน

ขั้นตอนการ check in ก็คล้าย ๆ ขึ้นเครื่องบิน เอากระเป๋าไปเอ็กซเรย์แล้วก็ส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ของเรือเอาไปเก็บให้ จากนั้นไปเข้าคิว check in จัดการเรื่องห้องนอนกับรับบัตรประจำตัวของเรา หรือ "SeaPass Card" ที่ไว้ใช้บนเรือทั้งรูดซื้อของแล้วก็เข้าห้องนอน เราสามารถผูกมันไว้กับบัตรเครดิตของเราได้เลย อยากกินไรก็รูดๆๆ สิ้นเดือนบิลจะมาที่บ้านเอง

ด่านต่อไปคือ ตม. ก็ตรวจหนังสือเดินทาง ประทับตราว่าเราเดินทางออกจากสิงคโปร์ พอหลุดจากตรงนี้ก็ลงเรือได้ครับ โดยส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวก็จะมาชักภาพกันอีกเล็กน้อย ตรงมุมนี้เลยยยย....
ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และ สถานที่กลางแจ้ง
ภาพก่อนขึ้นเรือ the Mariner of the seas โดย Pipat D.
  • ชีวิตบนเรือ
ที่กิน ถิ่นนอน
พอขึ้นเรือไปแล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลาที่เรือจะออกจากท่า เราจึงเตร็ดเตร่ถ่ายภาพกันอยู่บริเวณ Royal Promenade ลักษณะก็เหมือน Main Street ลาดไปตามทางยาวของลำเรือแล้วมีร้านค้าอยู่สองข้างทาง ทั้งขายของจำพวกเครื่องสำอางค์ นาฬิกา น้ำหอม และกระเป๋าถือสตรีต่าง ๆ แล้วก็จะมีร้านกาแฟ บาร์เล็ก ๆ สำหรับดื่มเบียร์และแอลกอฮอล์ต่าง ๆ แต่สำคัญในบรรดาร้านรวงเหล่านั้น จะมีร้านที่เปิดให้เราเข้าไปหยิบอาหารและเครื่องดื่มทานได้ฟรีตลอดกาล 24 ชั่วโมงอยู่แห่งหนึ่งคือ Cafe Promenade อาหารก็มีหลายหลากทั้งแซนด์วิช เจลลี่ คุ๊กกี้ ชา กาแฟ และนมสด

ขอย้ำนะครับว่า บริเวณ Royal Promenade นี้ขอให้จดจำให้ดี เพราะมันจะเป็นจุดที่เราต้องมาตั้งหลักตั้งต้นทำอะไรหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะถ้ามาเป็นหมู่คณะก็เหมาะจะเป็นจุดนัดพบเลยหละครับ นอกจากนี้ กิจกรรม Captain Night หรือที่ผมเรียกของผมเองว่า กัปตันปฏิสันถาร นั้น ก็จะถูกจัดขึ้นในบริเวณ Royal Promenade แห่งนี้ด้วยเช่นกัน

เมื่อเรือจวนจะออกจากท่าเต็มแก่แล้วนั้น ทางเรือจะให้ลูกเรือคอยเดินต้อนหน้าต้อนหลังให้พวกเราลงไปรวมตัวกันที่บริเวณกราบเรือด้านซ้าย หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Port side of the ship คือด้านที่เทียบท่าเวลาจอดเรือนั่นแหละว่ากันง่ายๆ ทั้งนี้ เพื่อทำการทดสอบแผนอพยพในกรณีมีเหตุฉุกเฉิน วิธีการก็จะต้องจัดแถวเรียกเป็นกลุ่มไล่ตามห้องที่พัก แล้วลูกเรือที่รับผิดชอบเขาจะมีอุปกรณ์มายิงบาร์โค้ดที่บัตรประจำตัวของพวกเราหรือที่เรียกว่า SeaPass Card เพื่อตรวจสอบว่าใครบ้างที่มาร่วมการทดสอบและใครบ้างที่ไม่ได้มา สำหรับคนที่ไม่ได้มาร่วมในวันแรกนี้ ก็จะต้องถูกตามตัวมาร่วมการอบรมในวันหลังด้วยครับ อย่าคิดว่าจะรอด

ภาพถ่ายในห้องนอนแบบมีระเบียง โดย Ploy Ntaporn D.

จบจากการฝึกซ้อมอพยพที่ว่าแล้ว ผมเคลื่อนตัวขึ้นห้องนอนเลยครับ จำไม่ได้ถนัดว่าห้องเลขที่เท่าไหร่แต่แน่ใจว่าอยู่ชั้น 7 กราบเรือด้านขวา

เมื่อเข้าไปในห้องนอนก็จะมีชุดโซฟา มีเตียงนอนพร้อมผ้าขนหนูที่บรรจงพับเป็นรูปสัตว์น่ารักๆ วางไว้  ถามว่านอนสบายไหม ก็เหมือนพักตามโรงแรมระดับ 4 ดาว คือมันก็นิ่ม สะอาด แล้วก็ไม่เหม็นนะพวกปลอกหมอน ผ้าปูอะไรพวกนี้ ถือว่าโอเค

ส่วนถ้าจะถามว่า โคลงเคลงเมาเรือไหม บอกได้เลยว่าแทบไม่รู้สึกว่าอยู่บนเรือ มันก็เหมือนอยู่บนตึกอะไรสักอย่างมากกว่า ฉะนั้น ถ้าจะพาญาติผู้ใหญ่มา ผมว่าไม่เป็นปัญหานะครับ เว้นแต่ว่าจะกลัวเรืออยู่แล้ว นั่นก็อีกเรื่องนึง

ภาพห้องนอนแบบมีระเบียง โดย Ploy Ntaporn D.

ในส่วนของห้องน้ำก็ไม่เล็กไม่ใหญ่สำหรับการล่องเรือ ถือว่าพอดีๆ มีอ่างล้างหน้าด้วย
มื้อเย็นวันแรกพวกเราฝากท้องไว้ที่ห้องอาหาร the Sound of Music ซึ่งให้บริการแบบ Set Menu โดยมี
บริกรประจำโต๊ะสองคนเป็นชาวจีน ชื่อเฉินกับเจียง สองคนนี้จะคอยให้บริการประจำโต๊ะของเราตลอดการเดินทาง (เฉพาะมื้อเย็น)
ภาพถ่ายบริกรประจำโต๊ะกับผู้เขียน โดย Ploy Ntaporn D.

การมารับประทานอาหารแบบ Set Menu สำหรับคณะของผมเราชอบมาก เพราะรู้สึกว่าอาหารทำมาอย่างดี รสชาติอร่อย และไม่ต้องแย่งที่นั่งกับคนอื่นเหมือนกับเวลาไปที่ห้องอาหาร Windjammers ซึ่งเป็นบริการแบบบุฟเฟต์

เพียงแต่ต่อคิวรอคอยนานนิดนึง ส่วนเวลาที่จะมาทานอาหารเย็นได้นั้น ทางเรือจะกำหนดให้เราว่าจะมาได้ตอนไหน แต่ถ้าเราอยากเลือกเวลาทานข้าวแต่ละมื้อเองก็สามารถจ่ายเงินเพิ่มเติมเพื่อซื้อ option เสริมตรงนี้ได้เรียกว่า My Time Dining แต่บริกรก็จะเปลี่ยนหน้าไปเรื่อย ๆ หรือถ้าไม่อยากรอก็สามารถเลือกไปกินที่ห้องอาหารบุฟเฟต์ Windjammers ได้เช่นกัน หรือถ้าหากอยากกินอาหารประเภทอื่นๆ ที่นอกเหนือจากนั้น ก็สามารถเลือกใช้บริการในห้องอาหารอื่นๆ ของทางเรือได้ แต่ในส่วนนี้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนะ

สำหรับการบริการของพนักงานในห้องอาหาร the Sound of Music นี้ ผมยืนยันด้วยใจจริงว่าเขาให้บริการอย่างดี ทำด้วยใจแล้วก็แนะนำอาหารได้ถูกปากคนไทยมาก ๆ ครับ

ในโอกาสที่ผมไปยังได้พบกับพี่ชูชัยซึ่งเป็นเพื่อนคนไทยของเราที่ได้ไปทำงานประจำอยู่ที่ห้องอาหารดังกล่าว เธอเป็นผู้มีอัธยาศัยดีมาก เมื่อทราบว่าคณะของเราเป็นคนไทยก็เข้ามาชวนคุยด้วยและคอยให้ความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆ น่ารักมากๆ

ก่อนนอน ผมจะจดบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ เอาไว้ แล้วก็พักผ่อนอิริยาบทในห้อง แล้วก็จะทำการเลือกเมนูของอาหารที่จะทานที่ระเบียงห้องนอนในช่วงเช้าด้วย โดยทาง Royal Caribbean เขาจะมีกระดาษสำหรับเลือกเมนูอาหารเช้ามาไว้ให้เราในห้องนอนเป็นจำนวนเท่ากับวันที่เราอยู่บนเรือ อย่างของผมก็ได้มาสามใบ เราเลือกเสร็จแขวนกระดาษไว้หน้าห้อง เช้าเขาก็จะมาส่งตามเวลาที่เรากำหนดให้ บริการแบบนี้เขาไม่คิดเงินเพิ่ม แล้วก็ไม่ห้ามว่าสั่งมาแล้วจะไปกินต่อที่ห้องทานอาหารเช้าอีกรอบไม่ได้ คือ จะเบิ้ลก็เบิ้ลไม่ว่ากัน

ตื่นเช้ามาก็มีอาหารมาเสริ์ฟตามออเดอร์ที่เรานำไปแขวนไว้หน้าประตูห้องนอนตั้งแต่คืนวาน ผมจัดแจงนำไปวางไว้ที่โต๊ะที่ระเบียงด้านนอก แสงอาทิตย์เริ่มจับขอบฟ้า น้ำทะเลสีน้ำเงินสะอาดตา ลมพัดเอื่อย ๆ มีเรือสินค้าวิ่งอยู่ไกลๆอีกสองสามลำ โอ้ ช่างเป็นบรรยากาศที่เหมาะแก่การจิบกาแฟและกินอาหารเช้าเสียจริง ๆ

ในภาพอาจจะมี ผู้คนกำลังนั่ง, มหาสมุทร, ท้องฟ้า, สถานที่กลางแจ้ง, น้ำ และ ธรรมชาติ
ภาพทานอาหารเช้าที่ระเบียงห้องนอน โดย Ploy Ntaporn D.
ต่อจากนั้นก็ไปหาอาหารทานต่อที่ห้องอาหาร Rhapsody in Blue ที่ชั้นสาม อาหารก็มีเป็น Set Menu ให้เราเลือกเองได้ตามใจชอบ แต่ว่าบริกรจะไม่ใช่คนเดิมทุกวัน อารมณ์เหมือนไปทานอาหารตามร้าน โต๊ะไหนว่างก็โต๊ะนั้นเลย

ผมขอส่งรูปภาพตัวอย่างอาหารมาให้ดูกัน เรียกน้ำย่อยนะครับ
ภาพหอยเชลล์อบเนย โดย Ploy Ntaporn D.




อาหารจานนี้คือ อร่อยมาก เป็นหอยเชลล์อบเนย ขนาดคณะของเราบางคนไม่ชอบอาหารฝรั่งเลย ยังเอ่ยปากว่าจานนี้เด็ดจริง
ภาพปลาแซลมอนอบซอสส้ม โดย Ploy Ntaporn D.

ภาพเสต็กเนื้อ โดย Ploy Ntaporn D.

ภาพขนมหวาน โดย Ploy Ntaporn D.


มาดูภาพห้องอาหารที่ใช้รับประทานอาหารทั้งสามมื้อ แบบ Set Menu กันครับ 

ภาพห้องอาหารหลักของเรือ Mariner of the Seas โดย Ploy Ntaporn D.

กิจกรรมยามว่างระหว่างวัน

หลังทานอาหารเช้าแล้ว แต่ละวันก็มีกิจกรรมแตกต่างกันออกไปสุดแต่ว่าท่านจะพึงใจไปร่วมกิจกรรมไหน หรือบางคนนิยมการนอนพักผ่อนอยู่แต่ในห้องนอนก็ไม่ผิดกติกามารยาทแต่อย่างใด

ทีนี้ จะเล่าให้ฟังว่ากิจกรรมที่ทาง Royal Caribbean เขาตระเตรียมไว้ให้ท่านมันหน้าตาเป็นอย่างไร
ขอแบ่งเป็น 2 ประเภทง่ายๆ คือ 1. เฮ้ย เชียร์วะ ไปดูเหอะพี่ ดีจริง 2. ก็แล้วแต่ ชอบไหมละ ชอบก็เอา

ประเภทแรก "เฮ้ย เชียร์วะ ไปดูเหอะพี่ ดีจริง"  มีรายนามดั่งจะกล่าวต่อไปนี้

1.1 การแสดงโชว์ก่อนนอนยามค่ำคืนที่ห้อง the Savoy Theatre 
แต่ละคืนการแสดงจะไม่เหมือนกัน มีร้องเพลง มายากล กายกรรม เต้นโชว์ ละครเวที อะไรแบบนี้สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป และถ้าหากผมเข้าใจไม่ผิดนะ เขาจะพยายามหานักร้อง นักแสดงใหม่ ๆ มาเสริมทีมและเปลี่ยนรูปแบบการแสดงอยู่ตลอดเวลา คือ เรียกได้ว่าเรือลำเดิม แต่การแสดงไม่เหมือนเดิมเลย
ภาพการแสดงที่ the Savoy Theatre โดยผู้เขียน

อ้อ ลืมไปเลย สำหรับคืนสุดท้ายจะเด็ดมากครับ เขาจัดโชว์ส่งท้ายอย่างพิเศษสุด ๆ และยังมีช่วงที่นำตัวแทนจากทุกภาคส่วนบนเรือ มาเต้นโชว์อำลาเราด้วยครับ น่ารักจริง ๆ
ภาพการแสดงส่งท้าย โดย Ploy Ntaporn D.

1.2 การแสดงโชว์กายกรรมบนลานน้ำแข็ง
การแสดงโชว์นี้ ผู้เล่นต่างฝึกฝนกันมาเป็นอย่างดี ทักษะการเล่นไอซ์เสก็ตดีมาก ดูแล้วเพลิดเพลินตา
โดยรอบที่ผมไปดูเขาได้เชิญนักแสดงที่มีฝีมือดีมากมาแสดงรับเชิญช่วงหนึ่งด้วย คือฟินมาก การทำกายกรรมในท่วงท่าหวาดเสียวต่าง ๆ ก็ยากแล้ว นี่ยังต้องแสดงบนลานน้ำแข็งลื่น ๆ อีก แต่เธอก็ทำได้อย่างดี
ภาพการแสดงบนลานน้ำแข็ง โดยผู้เขียน

ช่วงที่นั่งดู เขาแสดงกัน ก็พลันได้คิดว่า ชีวิตการทำงานบนเรือก็ดีไปอีกอย่าง มันเหมือนเราได้อยู่ห่างจากโลกที่วุ่นวายมาระดับหนึ่ง ได้เดินทางไปเรื่อย ๆ แล้วก็ได้พบปะเพื่อนใหม่ๆ อีกมากมาย แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะเหงากันไหมนะ พยายามแอบดูแววตาของพวกเขาเหมือนกัน แต่ก็ยังดู happy กันดี อาจเป็นเพราะส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวที่ยังมีพลังแห่งการแสวงหาอยู่เต็มเปี่ยมก็เป็นได้

1.3 การเข้าร่วม Captain Night หรือราตรีแห่งกัปตันปฏิสันถาร
ในค่ำคืนนี้ กัปตันและ senior officers ของเรือจะแต่งกายเต็มยศออกมาพบปะชาวเรือที่บริเวณ Royal Promenade ตรงชั้น 4 คนมากันเยอะนะครับ ยังไงรีบลงไปหาทางจับจองพื้นที่กันหน่อยก็ดี

พวกเราก็ต้องแต่งกายในชุดสากลด้วย เพื่อเป็นการให้เกียรติงานและสถานที่ สำหรับผม (personally) นะผมมองว่ากิจกรรมนี้เป็น core ของการล่องเรือสำราญ คือถ้าจะมากิน มานอน ถึงที่หมายก็ลง ไปลงเรือแป๊ะที่ไหนก็ได้ หรือแพที่เขื่อนศรีนครินทร์ก็เหมือนกัน แต่เรือสำราญระดับห้าดาวแบบนี้ สิ่งสำคัญนอกจากความหรูหรา สะดวกสบายคือ ความมีอารย ความมีวัฒนธรรม ค่ำคืนแห่งกัปตันปฏิสันถารจึงเป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่แสดงออกถึงสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น

เราแต่งกายสวยงาม พบกับกัปตันเพื่อสัมผัสมือและถ่ายภาพร่วมกัน จากนั้นจิบไวน์หรือแชมเปญ แล้วไปทานข้าวแบบ full course ในเครื่องแต่งกายอย่างสากลที่สุภาพ ผมว่านี่แหละคือที่ผมชอบในการมาเรือ คือเที่ยวและรู้สึกว่าอยู่ท่ามกลางความมีอารย และวัฒนธรรม เว้นแต่ ไปเจอทัวร์ของบางประเทศที่มีประชากรเป็นพันล้านคนและนับถือวัฒนธรรมใครดีใครได้ มือใครยาวสาวได้สาวเอา แบบนั้นก็เหนื่อยหน่อย
ถ้าท่านไปลงเรือในช่วง X'mas อย่างผม ก็จะมีกิจกรรมร่วมร้องเพลงกันด้วย คือบรรดาแขกมารวมตัวกันที่ Royal Promenade แล้วเขาจัดวงดนตรีมาร่วมบรรเลง พร้อมแจกเนื้อร้องเพลงที่จะร้องให้แขกร้องร่วมกัน เช่น We wish you a merry x'mas, Joy to the world เป็นต้น
ภาพวงดนตรีพิเศษวันคริสต์มาส โดย Ploy Ntaporn D.

การร่วมกันร้องเพลงคริสต์มาสนี้ ผมว่าก็สนุกดี มันมีพลังมวลรวมแห่งความสุข คือมันร้องคนเดียวก็สนุกคนเดียวไง แต่พอมีกลุ่มคนมันได้อารมณ์คนละอย่างเลย เป็นความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก 

ประเภทที่ 2 "ก็แล้วแต่ ชอบไหมละ ชอบก็เอา" มีรายการดังนี้

2.1 ปีนหน้าผา

คนไม่เคยปีนก็ไม่ต้องกลัว มีเจ้าหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือตลอดเวลา

อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยก็มีคุณภาพได้มาตรฐาน ที่สำคัญมันอยู่บนทะเลอะ พอยิ่งปีนสูงขึ้นๆ วิวก็งามขึ้นๆ ลมทะเลปะทะร่างกาย โอ้ย ฟิน
2.2 ชมหนังกลางแปลง 
บนดาดฟ้าเรือ เขาจะจัดจอใหญ่ไว้ให้ มีฉายหนังทุกคืน สามารถนอนบนที่นอนชมได้อย่างสบายอารมณ์ ที่สำคัญลมทะเลตอนกลางคืนมันให้ความรู้สึกเย็นสบายอย่างมากเลยละครับ
ภาพลานที่นั่งชมหนังกลางแปลง โดยผู้เขียน

2.3 คาสิโน
สำหรับผู้รักการเสี่ยงโชค และความท้าทายก็เรียนเชิญครับ เสียดายผมไม่มีภาพที่คาสิโน แต่ก็หาไม่ยากบอกเจ้าหน้าที่เขาแค่นี้ก็หาทางไปถูกแล้วครับ ผมไปนั่งเล่นอยู่ตรงบาร์เล็กๆตรงทางออกคาสิโน มีนักเปียโนฝีมือดีมาบรรเลง และมีเครื่องดื่มคอกเทลราคาไม่แพงไว้บริการครับ
ภาพนักเปียโนฝีมือดีที่บาร์หน้าคาสิโน โดยผู้เขียน

2.4 การหามุมถ่ายภาพต่าง ๆ

เมื่อท่านมาพักผ่อนบนเรือสำราญขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ มีจุดชมวิวสวย ๆ ถึงขนาดนี้ สิ่งที่ไม่ควรพลาดอย่างมากคือ การหามุมสวย ๆ ถ่ายภาพครับ จุดที่ผมชอบมากที่สุดจุดหนึ่งคือ หัวเรือตรงชั้น 4 สามารถทำท่าทางคล้าย ๆ Jack and Rose ในภาพยนตร์เรื่อง Titanic ได้อย่างดี

ท้ายนี้ ก็ขอนำภาพสวย ๆ มาฝากให้ได้ชมกันนะครับ และหากท่านอยากได้การพักผ่อนในรูปแบบที่ไปกันได้ทั้งครอบครัว ไม่ต้องเคลื่อนพลไปโน่นมานี่ ตลอดทั้งวัน แถมได้เที่ยวสิงคโปร์ในฐานะเมืองท่าสำหรับขึ้นเรือด้วยแล้ว การเดินทางไปกับ the Royal Caribbean ไม่น่าจะเป็นตัวเลือกที่ทำให้ท่านผิดหวังครับ
ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ผู้คนกำลังยืน, มหาสมุทร, ท้องฟ้า, สถานที่กลางแจ้ง และ น้ำ
ภาพที่หัวเรือ โดย Panut D.

ในภาพอาจจะมี 2 คน
ภาพถ่ายบนเรือจากชั้น 3 ไปชั้น 4 โดย Pipat D.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รีวิว อิตาลี (ตอนที่ 1) Milan เที่ยวมิลาน ด้วยตัวเองกับครอบครัว แบบสบาย ๆ

ท่องเที่ยว ทะเล ตอน X2 กุยบุรี with Pumbaa